พระกรรมฐานและเกจิอาจารย์ เครื่องราง,ของขลัง ทั่วไทยพระกรรมฐานและเกจิอาจารย์ทั่วประเทศ "รับเช่าบูชาและให้เช่าบูชา พระเกจิอาจารย์ สายกรรมฐาน พระเกจิทั่วไป พระกรุ เครื่องรางของขลัง และอื่น ฯลฯ แบ่งเก็บสะสมพระแท้...ราคาเบาๆ สนใจ พระกรรมฐานและเกจิทั่วไทยสอบถาม 092-2585840 และ พระกรรมฐานและเกจิอาจารย์ เครื่องราง,ของขลัง ทั่วไทย(พระกรรมฐานและพระเกจิอาจารย์ทั่วประเทศได้ตลอด 24 ช.ม.)

  พระกรรมฐานดอทคอม (www.prakammatan.com)
โทร. 092-2585840 แฟกซ์. ----------------- มือถือ. 081-8841884

               

โทรจอง,หรือทางไลน์ได้เลย..ทางร้าน ให้ท่านที่สั่งซื้อจองได้ไม่เกิน   วัน นับจากวันที่จอง รายการหนึ่งรายการใดจองครบ กำหนด แล้ว ยังไม่โอน ถือว่าท่านนั้น สละสิทธิ์ จะเปิด )ให้บูชาต่อไป "ถ้าไม่แจ้ง"(ระบบจะตัดอัตโนมัติรายการใหน หลุดการจอง จะเด้งขึ้นหน้าแรก)

 บูชา 1 รายการไม่มีส่วนลด บูชา 2 รายการขึ้นไป ลดรายการละ 50 บาท ไปเรื่อยๆ (รวมรายการที่ 1 ด้วย) อาทิ..2 รายการ 100 บาท.. 3 รายการ 150 บาท.. รายการ 200 บาท ฯลฯ ท่านที่บูชาหักส่วนลดแล้วเกิน 1,000 บาทขึ้นไปแล้วมีเศษ 50 บาท ลดเศษออก คิดราคาเต็ม ครับ...จัดส่ง Flash Express ,ไปรษณีย์ไทย จำกัด ThailandPost,Kerry Express,Best Express,J&T Express รี.ทุกรายการ.. จัดส่งของได้ทุกวัน  

อีเมลทางร้าน kajon16@gmail.com

 

สมัคร สมาชิก ฟรี จองพระหน้าเว็บได้ เลยครับ ใส่ ชื่อล็อคอิน  รหัสผ่าน ก่อน ครับ

..ไอดี(ID Line) ของร้าน...(prakammatan.com และ 0922585840) พระกรรมฐาน ..ขอบคุณครับ..


 ประวัติหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร

หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่


ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย

ท่านมีนามเดิมว่า สิม วงศ์เข็มมา เกิดเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๕๒ ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒
ปีระกา เวลาประมาณ ๒๑.๐๐ น. ที่บ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร บิดาท่านชื่อ นายสาน
วงศ์เข็มมา มารดาชื่อ นางสิงห์คำ วงศ์เข็มมา มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๑๐ คน ท่านเป็นคนที่ ๕ สกุล "วงศ์เข็มมา"
เป็นสกุลเก่าแก่สกุลหนึ่งของบ้านบัวผู้เป็นต้นสกุลได้แก่ ขุนแก้ว และ อิทปัญญา ผู้เป็นน้องชาย
ตัวท่านขุนแก้วคือปู่ของหลวงปู่สิมนั่นเอง เท้าความในคืนที่หลวงปู่เกิดนั้นประมาณเวลา ๑ ทุ่ม
โยมมารดาของท่านเคลิ้มหลับไป
ก็ได้ฝันเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งมีรัศมีกายสุกสว่างเปล่งปลั่งแลดูเย็นตาเย็นใจอย่างบอกไม่ถูก
ลอยลงมาจากท้องฟ้าลงสู่กระต็อบกลางทุ่งนาของนาง ต่อมาเวลาประมาณ ๓ ทุ่ม
นางสิงห์คำก็ให้กำเนิดเด็กน้อยผิวสะอาด และจากนิมิตที่นางเล่าให้นายสานฟัง นายสานผู้เป็นบิดาจึงได้ตั้งชื่อลูกชายว่า

"สิม" ซึ่งภาษาอีสานหมายถึงโบสถ์ อันอาจบ่งบอกถึงความใกล้ชิดพระพุทธศาสนา
ซึ่งต่อมาเด็กชายสิมผู้นี้ก็ได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์ บำเพ็ญสมนธรรม ใช้ชีวิตที่ขาวสะอาดหมดจดตลอดชั่วอายุขัยของท่าน
เมื่อเริ่มเข้ารุ่นหนุ่ม อายุ ๑๕-๑๖ ปี ท่านมีความสนใจในดนตรีอยู่ไม่น้อย หลวงปู่แว่น ธนปาโล เล่าว่า
ตัวท่านเองเป็นหมอลำ ส่วนหลวงปู่สิมเป็นหมอแคน
สิ่งบันดาลใจให้หลวงปู่อยากออกบวชคือความสะดุ้งกลัวต่อความตาย ท่านเล่าว่า "ตั้งแต่ยังเด็กแล้วเมื่อได้เห็น
หรือได้ข่าวคนตาย มันให้สะดุ้งใจทุกครั้ง กลัวว่าเราจะตายเสียก่อนได้ออกบวช"
มรณานุสติได้เกิดขึ้นในใจของท่านอยู่ตลอดเวลา เฝ้าย้ำเตือนให้ท่านไม่ประมาทในชีวิต ไม่ประมาทในวัย
ไม่ประมาทในความตาย เป็นเพราะหลวงปู่กำหนด "มรณํ เม ภวิสฺสติ" ของท่านมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนั่นเอง
ตั้งแต่ยังไม่ได้ออกบวชจวบจนสิ้นอายุขัยของท่าน
หลวงปู่ก็ยังใช้อุบายธรรมข้อเดียวกันนี้อบรมลูกศิษย์ลูกหาอยู่เป็นประจำ เรียกว่า หลวงปู่เทศน์ครั้งใดมักจะมี "มรณํ เม
ภวิสฺสติ" เป็นสัญญาณเตือนภัยจากพญามัจจุราชให้ลูกศิษย์ลูกหาตื่นตัวอยู่เสมอทุกครั้ง

ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา

เมื่อท่านอายุ ๑๗ ปี ได้ขอบิดามารดาบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดศรีรัตนาราม ซึ่งเป็นวัดมหานิกาย ณ
บ้านบัวนั้นเอง ตรงกับวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๔๖๙ ตรงกับวันอาทิตย์แรม ๗ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะโรง โดยมี
พระอาจารย์สีทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาคณะกองทัพธรรมของ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้เดินธุดงค์มาจากหนองคาย
เพื่อมาเผยแพร่ธรรมปฏิบัติแก่ประชาชนโดยเดินทางมาถึงวัดศรีสงคราม จังหวัดนครพนม สามเณรสิม
จึงได้มีโอกาสเดิมทางไปฟังธรรม ทั้งจากพระอาจารย์ใหญ่ คือหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม
และท่านอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล สามเณรสิมได้เฝ้าสังเกตข้อวัตรปฏิบัติของท่านพระอาจารย์มั่น
ท่านพระอาจารย์สิงห์ และพระอาจารย์มหาปิ่น และได้บังเกิดความเลื่อมใสอย่างมาก
จึงตัดสินใจขอถวายตัวเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น
และได้ขอญัตติใหม่มาเป็นธรรมยุติกนิกายแต่โดยที่ขณะนั้นยังไม่มีโบสถ์ของวัดฝ่ายธรรมยุติในละแวกนั้น
การประกอบพิธีกรรมจึงต้องจัดทำที่โบสถ์น้ำ ซึ่งทำจากเรือ ๒ ลำ ทำเป็นโป๊ะลอยคู่กัน
เอาไม้พื้นปูตรึงเป็นพื้นแต่ไม่มีหลังคา สมมติเอาเป็นโบสถ์ โดยท่านพระอาจารย์มั่นฯ เป็นประธาน
และเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ ที่วัดป่าบ้านสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม
จากนั้นสามเณรสิมได้ติดตามพระอาจารย์มั่นไปอยู่จำพรรษาที่วัดป่าบ้านข่า ตำบลบ้านข่า อำเภอท่าอุเทน
จัวหวัดนครพนม
เมื่อสามเณรสิมอายุครบบวช ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดศรีจันทราวาส ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
ในวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ ตรงกับวันอังคารขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะเส็ง โดยมีเจ้าคุณเทพสิทธาจารย์ (จันทร์
เขมิโย) เมื่อครั้งเป็นพระครูพิศาลอรัญญเขต เจ้าคณะธรรมยุติจังหวัดขอนแก่น เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีพระอาจารย์สิงห์
ขนฺตยาคโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดดวงจันทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "พุทฺธาจาโร"

จากนั้นท่านก็ได้เดินทางติดตามพระอาจารย์ของท่าน คือพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ไปจำพรรษาที่วัดป่าวิเวกธรรม
(วัดป่าบ้านเหล่างา) อำเภอเมือง จัวหวัดขอนแก่น วัดป่าบ้านเหล่างานี้เป็นวัดอยู่ในเขตป่าช้า

(บริเวณโรงพยาบาลขอนแก่นในปัจจุบัน) ซึ่งท่านพระอาจารย์สิงห์ และท่านพระอาจารย์มหาปิ่น

ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นสำนักอบรมกรรมฐานแก่ญาตโยมชาวขอนแก่น ท่านพระอาจารย์สิงห์

ได้ออกอุบายสอนลูกศิษย์ของท่านให้ได้พิจารณาอสุภกรรมฐานจากซากศพและว่า "นี่แหละร่างกายนั้น
พระพุทธองค์ท่านจึงทรงสอนให้กำหนดเป็นอสุภกรรมฐานอย่าไปเห็นว่ารูป ไม่ว่ารูปหญิงรูปชาย
ใหเข้าใจว่าเป็นอันเดียวกัน ไม่มีใครสวยใครงามกว่ากัน" "สมมติโลกว่าสวยว่างามสมมติธรรมมันไม่สวยงาม อสุภํ มรณํ
ทั้งนั้น ถึงมันจะยังไม่ตายตอนเด็กตอนหนุ่มก็เถอะ ไม่นานละ เดี๋ยวมันก็ทยอยตายไปทีละคน สองคน หมดไป สิ้นไป
ไม่เหลือ"
ในชีวิตสมณะของท่านได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่า "โสสานิ กังคะ"
คือไปเยี่ยมป่าช้าเป็นธุดงควัตร
และที่วัดป่าเหล่างานี้เองที่หลวงปู่ได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมอย่างใกล้ชิดกับท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นเวลานาน
๓-๔ ปี ทั้งได้มีโอกาสมักคุ้นกับพระกรรมฐานองค์สำคัญ ๆ หลายองค์ เช่น หลวงปู่เทศก์ เทสฺรํสี, หลวงปู่ขาว อนาลโย ,
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร , หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ , ท่านพ่อลี ธมฺมธโร , ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เป็นต้น

ปี พ.ศ. ๒๔๗๙ (พรรษาที่ ๘) เมื่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) แห่งวัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ
ได้เดินทางไปเยี่ยมเยือนพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ที่วัดจักราช สมเด็จฯ
ท่านได้แลเห็นจริยาวัตรของหลวงปู่สิมขณะทำหน้าที่อุปัฏฐากรับใช้และเกิดชื่นชอบถูกใจถึงกับปรารถนาจะชวนหลวงปู่
ไปอยู่ด้วยกับท่าน จึงเอ่ยปากขอตัวหลวงปู่สิม กับท่านพระอาจารย์สิงห์ ว่า "พระองค์นี้มีลักษณะเป็นผู้มีบุญบารมี
ผมจะขอตัวให้ไปอยู่ด้วยจะขัดข้องหรือเปล่า"

ซึ่งท่านพระอาจารย์สิงห์ท่านก็มิได้ขัดข้องด้วยเห็นเป็นวาสนาบารมีของหลวงปู่สิม
ที่จะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับพระเถระผู้ใหญ่เยี่ยงท่านสมเด็จฯนี้ ทั้งจะได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมวินัยให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร จึงได้ร่วมเดินทางมากับสมเด็จฯ ที่วัดบรมนิวาส มาจำพรรษาและศึกษาพระธรรมวินัย
ในสำนักสมเด็จฯ ทำให้หลวงปู่สิม ได้รับความรู้แตกฉานในพระธรรมวินัยมากขึ้น
หลวงปู่สิมอยู่รับใช้สมเด็จฯด้วยจริยาดีเยี่ยม
พร้อมกันนั้นหลวงปู่ก็ได้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของพระธุดงค์กรรมฐานให้แก่พระเณร
จำนวนมากที่มารับการฝึกฝนอบรมจากหลวงปู่

ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ได้เรียนขออนุญาตต่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์เดินทางธุดงค์กลับถึงบ้านบัว
ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เพื่อโปรดญาตโยมที่บ้านเกิดตามคำอาราธนา
และเมื่อหลวงปู่ปรารภที่จะให้มีวัดป่าธรรมยุติกนิกายขึ้นเป็นวัดแรกในบ้านบัวญาตโยมจึงต่างสนองตอบคำปรารภของ
หลวงปู่อย่างกระตือรือร้นและเต็มอกเต็มใจ โยมอาของท่าน คือนางคำไพ ทุมกิจจะ
ได้มีศรัทธาถวายที่ดินให้หลวงปู่จัดสร้างเป็นสำนักสงฆ์ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๘๐ สำนักสงฆ์นี้ปัจจุบันพัฒนาเป็น
"วัดสันติสังฆาราม" พร้อมด้วยวัดและสำนักสงฆ์สาขาเกิดอีก ๙ แห่ง สำหรับวัดสันติสังฆารามจังหวัดสกลนครนี้
หลวงปู่ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างพระอุโบสถตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ จนแล้วเสร็จ และได้รับพระมหากรุณาธิคุณ
จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯเสด็จมาฝังลูกนิมิตในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๓ ในโอกาสเดียวกับงานอายุครบ
๗๑ พรรษาของหลวงปู่

หลวงปู่สิม ได้ธุดงค์ไปในหลายจังหวัดอาทิ เช่น วัดป่าสระคงคา อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์
สำนักสงฆ์หมู่บ้านแม่ดอย (ต่อมาได้พัฒนาเป็นวัดชื่อว่า วัดป่าอาจารย์มั่น) อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ (ณ
ที่นี้หลวงปู่ได้พบหลวงปู่มั่นฯ และได้รับคำแนะนำเพิ่มเติมจากหลวงปู่มั่น
จนการปฏิบัติธรรมของหลวงปู่ก้าวหน้าขี้นอย่างมาก) เมื่อแยกจากหลวงปู่มั่นแล้ว
หลวงปู่ได้เดินธุดงค์ไปทางอำเภอสันกำแพง เข้าพักที่วัดโรงธรรมสามัคคี
วัดนี้เคยเป็นสถานที่ที่ครูอาจารย์หลายท่านเคยใช้พักจำพรรษา อาทิ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต , หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ,
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ , พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน และ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เป็นต้น

หลวงปู่สิม ได้พักจำพรรษาที่วัดโรงธรรมสามัคคีแห่งนี้ติดต่อกันนานถึงห้าปี คือตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ถึงปี พ.ศ.
๒๔๘๗ จึงย้ายไปจำพรรษาที่ถ้ำผาผัวะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บ้านเมืองอยู่ในสภาพหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในระหว่างนั้น
หลวงปู่ได้รับรู้ความคับจิตคับใจของบรรดาชาวบ้านทั้งหลาย
หลวงปู่ได้ปลุกปลอบใจของชาวบ้านที่กำลังสิ้นหวังให้กลับมีชีวิตชีวาขึ้น ด้วยการหยั่งพระสัทธรรมลงสู่จิตของพวกเขา
ในระหว่างออกพรรษาหลวงปู่สิมได้จาริกธุดงค์ไปบำเพ็ญเพียร ณ สถานที่วิเวกหลายแห่งในเขตจังหวัดเชียงใหม่
ศิษย์อาวุโสชาวเชียงใหม่ท่านหนึ่งคือ เจ้าชื่น สิโรรส (วัย ๙๖ ปี) โดยในปี พ.ศ. ๒๔๘๘ เจ้าชื่น สิโรรส
ได้อพยพครอบครัว หลบภัยสงครามไปอยู่ที่ถ้ำผาผัวะ ขณะที่หลวงปู่ธุดงค์ไปจำพรรษาที่ถ้ำผาผัวะนี้
ท่านเปรียบเสมือนที่พึ่งอันสูงสุดที่มีความหมายมากสำหรับคนที่อยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดเนื่องจากสงคราม
ปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๘ เมื่อสงครามมหาเอเซียบูรพาใกล้จะยุติ เจ้าชื่น สิโรรส ซึ่งอพยพจากถ้ำผาผัวะ
กลับคืนตัวเมืองเชียงใหม่ ได้กราบอาราธนาหลวงปู่ให้ย้ายเข้ามาพักจำพรรษาที่ตึกของแม่เลี้ยงดอกจันทร์ กีรติปาล
(คิวริเปอร์) ซึ่งอยู่ที่ถนนดอยสุเทพ ตรงข้ามกับถนนไปสนามบินเชียงใหม่
ปัจจับันคือที่ตั้งของศูนย์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ณ
ที่นี้เองที่หลวงปู่สิมพบกับลูกศิษย์คนแรกที่อุปสมบทที่เชียงใหม่คือ พระมหาทองอินทร์ กฺสลจิตฺโต
ซึ่งต่อมาก็ได้เป็นเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันของวัด "สันติธรรม" ซึ่งได้ทำการก่อสร้างขึ้นในภายหลังปี พ.ศ. ๒๔๙๐
เมื่อสงครามสงบโดยสิ้นเชิง มีข่าวว่าแม่เลี้ยงดอกจันทร์และลูกหลานที่อพยพหลบภัยสงครามไปจะกลับคืนถิ่นฐานเดิม
หลวงปู่จึงปรารภเรื่องการสร้างวัดคำปรารภในครั้งนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้คุณแม่นิ่มนวล สุภาวงศ์
เกิดศรัทธาขึ้นมาอย่างแรงกล้าที่จะสร้างวัดถวายหลวงปู่ ด้วยพลังศรัทธานั้นเอง "วัดสันติธรรม"

จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมาโดยอาศัยกำลังศรัทธาของสานุศิษย์

ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ โยมมารดาของหลวงปู่ถึงแก่กรรม หลวงปู่จึงได้เดินทางจากเชียงใหม่ลงมาที่บ้านบัวอีกครั้งหนึ่ง
ครั้นเสร็จงานฌาปณกิจศพโยมมารดาแล้ว หลวงปู่ก็ออกเดินธุดงค์ไปจังหวัดนครพนมทันทีเพื่อจำพรรษาที่ภูลังกา ช่วงปี
พ.ศ. ๒๔๙๘-๒๕๐๓ หลวงปู่ได้กลับไปพักจำพรรษาที่วัดสันติธรรม จัวหวัดเชียงใหม่
แต่ในจิตใจส่วนลึกของท่านนั้นยังปรารภ ความสงบวิเวกของป่าเขาและโพรงถ้ำต่าง ๆ อยู่จนต้นปี พ.ศ. ๒๕๐๓
ต่อมาได้มีพระลูกศิษย์ของหลวงปู่ไปพบถ้ำปากเปียง ซึ่งอยู่ที่ตำบลบ้านถ้ำ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
หลวงปู่จึงย้ายไปอยู่ภาวนาที่ถ้ำปากเปียงบ่อยครั้ง ด้วยเป็นที่สงบสงัดร่มรื่น ต่อมาในฤดูหนาว ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ลุงติ๊บ
คนบ้านถ้ำได้เป็นคนนำทางพาหลวงปู่ปีนป่ายภูเขา ขึ้นไปตามซอกเล็ก ๆ
เพื่อหาถ้ำที่กว้างและอยู่สูงตามคำปรารภของหลวงปู่ที่ว่า "กิเลสจะได้เข้าหายาก" จนกระทั่งได้พบถ้ำผาปล่อง
ซึ่งเป็นถ้ำที่ท่านคิดว่าจะเป็นบ้านสุดท้ายในการบำเพ็ญภาวนาในชีวิตของท่าน
หลวงปู่ได้พักค้างคืนบนถ้ำผาปล่องหนึ่งคืน แล้วก็ลงไปพักที่ถ้ำปากเปียงต่อ ต่อจากนั้นท่านก็ได้แวะเวียนไปพัก
ที่ถ้ำผาปล่องอีกเสมอ

ในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ท่านพระอาจารย์ลี ธมฺมธโร (ท่านเจ้าคุณวิสุทธิธรรมรังสี) เจ้าอาวาสวัดอโศการาม
ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นศิษย์ในสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
เช่นกันได้ถึงแก่มรณภาพ ทางคณะสงฆ์จึงลงมติขอให้หลวงปู่รับตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาส
หลวงปู่จึงได้ช่วยอยู่ดูแลวัดอโศการาม ในฐานะรักษาการเจ้าอาวาส จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๐๘ และในปี พ.ศ. ๒๕๐๙
หลวงปู่ได้รับการขอร้องจากท่านเจ้าคุณนิโรธธรรมรังสีให้หลวงปู่ช่วยรับตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าสุทธาวาส

หลวงปู่สิม จึงจำใจต้องรับเป็นเจ้าอาวาสให้วัดป่าสุทธาวาสอยู่ ๑ พรรษา โดยที่ใจจริงของท่านนั้นเบื่อหน่าย
คิดอยากแต่จะออกธุดงค์อยู่เรื่อยไป ในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๖ - ๒๕๐๙ หลวงปู่ได้มีปัญหาอาพาธด้วยโรคไตมาโดยตลอด
จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ด้วยปัญหาสุขภาพของหลวงปู่ หลวงปู่จึงได้ตัดสินใจวางภารกิจต่าง ๆ
โดยลาออกจากตำแหน่ง เจ้าอาวาสทุกวัดที่ท่านดูแลอยู่ จากนั้นท่านก็มาจำพรรษา ณ ถ้ำผาปล่องตลอดมา

ในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ หลวงปู่ได้เดินทางไปสังเวชนียสถานที่อินเดียและได้เดินทางไปอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. ๒๕๒๓
นอกจากนี้แล้วหลวงปู่ยังได้มีโอกาสเดินทางไปที่ปีนัง ประเทศมาเลเซีย กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ตลอดถึงทวีปยุโรป และอเมริกาอีกด้วย

หลวงปู่สิม ท่านมีความขยันและตั้งใจมั่นตั้งแต่เด็กดังเช่น พระอาจารย์สีทอง (พระอุปัชฌาย์
เมื่อครั้งเป็นมหานิกาย) ได้เล่าว่าครั้งเมื่อทางวัดมีการขุดสระ สามเณรสิม

ก็ไปช่วยขุดและขุดจนกระทั่งใครต่อใครเขาทิ้งงานไปหมด เนื่องจากขุดลงไปลึกถึงสิบเอ็ดสิบสองวาแล้วก็ยังไม่มีน้ำ
เมื่ออุปัชฌาย์ถามว่า "จะขุดไปถึงไหน" สามเณรสิมตอบว่า "ขุดไปจนสุดแผ่นดินนั่นแหละ"

ปฏิปทาของหลวงปู่ที่แสดงถึงความมีเมตตาอย่างล้นเหลือต่อลูกศิษย์ ได้แสดงให้เห็นอยู่ เนือง ๆ
หลวงปู่ปกครองพระเณรลูกวัดของท่านอย่างอบอุ่นใกล้ชิดเหมือนพ่อดูแลลูก ๆ ภาพในอดีตที่ประทับใจลูกศิษย์
(คุณแม่นิ่มนวล สุภาวงศ์) ภาพหนึ่งก็คือ เวลาที่พระเณรอาพาธหลวงปู่จะนั่งเฝ้าไข้อย่างสงบ ไม่ยอมห่างจนกระทั่งผู้ป่วย
อาการดีขึ้น ครั้งหนึ่งเณรน้อยนอนซมด้วยโรคพยาธิตัวเหลืองซูบซีดผอม เพราะฉันอาหารไม่ได้เลย "แม่ไล"

ได้เอายาถ่ายพยาธิมาถวาย เณรน้อยก็ฉันไม่ได้ อาเจียนออกมา มำให้แม่ไลโมโหมากจะบังคับให้ฉันให้ได้
แต่หลวงปู่ซึ่งนั่งเฝ้าอยู่อย่างใจเย็นได้ปลอบประโลมเณรน้อยของท่านขึ้นว่า "วันพรุ่งนี้เถอะเน้อไปบิณฑบาตได้กล้วย
ก่อน จะเอายาใส่ในกล้วยให้เณรน้อยฉัน" งานพัฒนาชุมชนที่นับว่าเป็นงานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งของหลวงปู่สิมซึ่ง
แสดงให้เห็นถึงความพร้อมเพรียงร่วมแรงร่วมใจกันทั้งฝ่ายบรรพชิตและฆราวาส และผลงานก็ได้ก่อประโยชน์เป็น
เอนกอนันต์แก่ชาวบ้านเกษตรกรก็คือ งานสร้างฝายน้ำล้นลำน้ำอูน ที่ท่าวังหินซึ่งก็คือบริเวณ สำนักสงฆ์เวฬุวัน
สันติวรญาณ ในปัจจุบันโดยในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ภายหลังจำพรรษาที่วัดสันติธรรมสังฆาราม หลวงปู่ก็ได้รับอาราธนา
จากชาวบ้านทั้ง ๔ ตำบล ใน ๒ เขตอำเภอให้มาเป็นประธานในการสร้างฝายน้ำล้นกั้นลำน้ำอูน งานสร้างฝายน้ำล้น
ชิ้นนี้สะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกลักษณะของหลวงปู่เด่นชัดมาก ในเรื่องความเป็นผู้เอาใจใส่และรับผิดชอบในภารกิจ
เมื่อที่ประชุมปรึกษาหารือกันว่าเห็นควรจะเริ่มงานกันในวันใหม่ หลวงปู่ก็ว่าให้เริ่มงานกันในวันนี้เลย หลวงปู่เป็นผู้มี
ความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง อดทน พูดจริง ทำจริง ถือสัจจะมั่นคง เป็นผู้ไม่มากโวหาร ทุกวันหลวงปู่จะพาเริ่มงานกันตั้งแต่ ตี
๔ ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นพอ ๑๐ โมงเช้าจึงพักฉันอาหาร หลังอาหารแล้วก็เริ่มทำงานกันต่อจนถึงมืดค่ำ พอถึงเวลา
๑ ทุ่ม หลวงปู่ก็จะพาสวดมนต์และฟังเทศน์ เสร็จแล้วก็เริ่มทิ้งหินลงในคอกไม้ที่สร้างไว้ตลอดแนวฝาย กว่าจะได้จำวัดก็
๔ ทุ่ม หรือบางวันงานจะติดพันจนถึงตีหนึ่งตีสอง เป็นดังนี้ตลอดระยะเวลา ๔ เดือน นับตั้งแต่เดือนมกราคม
จนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ จนฝายน้ำล้นสร้างสำเร็จ หลวงปู่จึงกลับไปจำพรรษาที่ถ้ำผาปล่อง

หลวงปู่ได้รับสมณศักดิ์ ณ "พระครูสันติวรญาณ" ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๐๒ และได้รับพัดยศโดยเลื่อนจาก
สมณศักดิ์ที่ "พระครูสันติวรญาณ" เป็น "พระญาณสิทธาจารย์" ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๓๕ และในคืนวันที่ ๑๓
สิงหาคม ๒๕๓๕ พระเณรพร้อมด้วยอุบาสกอุบาสิกาได้พร้อมใจกันเจริญพระพุทธมนต์ ฉลองสมณศักดิ์ถวายหลวงปู่
ที่ถ้ำผาปล่อง หลังจากเจริญพระพุทธมนต์หลวงปู่ได้พาพระเณรและญาตโยมนั่งภาวนาต่อจนถึงเวลาประมาณ ๒๑.๓๐ น.
แล้วท่านก็นั่งพักดูบริเวณภายในถ้ำอีกประมาณ ๒๐ นาที คล้ายกับจะเป็นการอำลา จนถึงเวลา ๒๒.๐๐ น.
ท่านจึงกลับเข้ากุฏิที่พักด้านหลังภายในถ้ำผาปล่อง และได้มรณภาพในเวลาประมาณตีสาม สิริรวมอายุของหลวงปู่ ๘๒
ปี ๙ เดือน ๑๙ วัน อายุพรรษา ๖๓ พรรษา

ธรรมโอวาท

๑. คำว่าจิตได้แก่ ดวงจิต ดวงใจผู้รู้อยู่ ผู้เห็นอยู่ ผู้ได้ยินได้ฟังอยู่ เราฟังเสียง ได้ยินเสียง ใครเป็นผู้รู้อยู่ในตัว
ในใจ นั้นแหละมันอยู่ตรงนี้ ให้รวมให้สงบเข้ามาอยู่ตรงนี้ ตรงจิตใจผู้รู้อยู่ (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)
๒. ตาเห็นรูปก็จิตดวงนี้เป็นผู้เห็น ดีใจก็จิตดวงนี้หลงไป เสียใจก็จิตดวงนี้หลงไป เสียงผ่านเข้ามาทางโสต
ทางหูก็จิตดวงเก่านี่แหละ กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็จิตดวงนี้เป็นผู้หลง เมื่อจิตใจดวงนี้เป็นผู้หลงผู้เมา
ไม่เข้าเรื่อง เราก็มาแก้ไขภาวนาทำใจให้สงบ ไม่ให้หันเหไปกับอารมณ์ใด ๆ เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดดับอยู่ในตัว ในใจ
ในสัตว์ ในบุคคลนี้ว่า มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็แตกดับไปเป็นธรรมดาอย่างนี้ (พระธรรมเทศนา
พุทธาจารานุสรณ์)
๓. การปฏิบัติบูชา ภาวนานี้ เป็นการปฏิบัติภายใน เป็นการเจริญภายใน พุทโธภายใน ให้ใจอยู่ภายใน
ไม่ให้จิตใจไปอยู่ภายนอก (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)
๔. การภาวนาไม่ใช่เป็นของหนักเหมือนแบกไม้หามเสา เป็นของเบาที่สุด นึกภาวนาบทใดข้อใด
ก็ให้เข้าถึงจิตถึงใจ จนจิตใจผ่องใสสะอาดตั้งมั่นเที่ยงตรงคงที่อยู่ ภายในจิตใจของตน ใจก็สบาย สั่งก็สบาย
นอนก็สบาย ยืนไปมาที่ไหนก็สบายทั้งนั้น ในตัวคนเรานี้เมื่อจิตใจสบายกายก็พลอยสบายไปด้วย อะไร ๆ
ทุกอย่างมันก็สบายไปมันแล้วแต่จิตใจ (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)
๕. ทำอย่างไรใจข้าพเจ้าจะสงบระงับ มีอุบายอะไร ก็อุบายไม่ขี้เกียจนั่นแหละ อุบายมันอยู่ที่ไหน
อุบายมันอยู่ที่ความเพียร ทำอย่างไรข้าพเจ้าจะสู้กับกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ในใจได้ ไปสู้ที่ไหน ก็สู้ด้วยความเพียร
สู้ด้วยความตั้งใจมั่น เราตั้งใจลงไปแล้วให้มันมั่นคงอย่าไปถอย (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)
๖. เพียรพยายามฝึกตนเองอยู่ มันจะเหลือ (วิสัย) ผู้มีความเพียรไปไม่ได้ เพราะว่าบนแผ่นดินนี้
ผู้มีความเพียรผู้ไม่ท้อแท้อ่อนแอในดวงใจไม่ว่าจะทำอะไรย่อมสำเร็จได้ ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า
เมื่อเห็นแล้วเราต้องตั้งความเพียรลงไป ภาวนาลงไป เมื่อมันยังไม่ตายจะไปถอยความเพียรก่อนไม่ได้ (พระธรรมเทศนา
พุทธาจารานุสรณ์)
๗. สู้ด้วยการละทิ้ง อย่าไปยึดเอาถือเอา เขาว่าให้เรา เขาดูถูกเรา เสียงไม่ดีเข้าหูก็เพียรละออกไป
ให้มันหมดสิ้น มนุษย์มีปาก ห้ามมันไม่ให้พูดไม่ได้ มนุษย์มีตา ห้ามไม่ให้มันดูไม่ได้ มันเป็นเรื่องของโลก ท่านจึงตรัสว่า
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเป็นความร้อน ความร้อนคือกิเลส กิเลสเหมือนกับไฟ ไฟมันเป็นของร้อน (พระธรรมเทศนา
พุทธาจารานุสรณ์)
๘. เราได้คลานภาวนาจนเข่าแตกเลือดออกมีไหม ไม่มี มีแต่นอนห่มผ้าให้มันตลอดคืน
มันจะได้สำเร็จมรรคผลอะไร ก็ได้แต่กรรมฐานขี้ไก่ กรรมฐานขี้หมู ไม่ลุกขึ้นภาวนาเหมือนพระแต่ก่อน
พระแต่ก่อนท่านเดินไม่ได้ท่านก็คลานเอา (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)
๙. พุทโธในใจ หลงไหลทำไม ไม่ต้องหลง ไม่ต้องลืม นั่งก็พุทโธในใจ นอนก็พุทโธในใจ ยืนก็พุทโธในใจ
เดินไปไหนมาไหน ก็พุทโธในใจ กิเลสโลเลละให้หมด โลเลทางตา โลเลทางหู โลเลทางจมูก ทางกลิ่น
โลเลในอาหารการกิน เลิกละให้หมด (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)
๑๐. ไม่ต้องไปรอท่าว่าเมื่อถึงวันตายข้าพเจ้าจะภาวนาพุทโธเอาให้ได้ อย่างนี้ไม่ได้ เราต้องทำไว้ก่อน
เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อนตั้งแต่บัดนี้ เดี๋ยวนี้เวลานี้เป็นต้นไป (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)
๑๑. ความตายนี้ไม่มีใครหลบหลีกได้ ท่านให้นึกให้น้อมให้ได้ว่าทุกลมหายใจเข้าไป
ก็เตือนใจของตนให้นึกว่า นี่ถ้าลมหายใจนี้เข้าไปแล้วออกมาไม่ได้ เกิดติดขัดคนเราก็ตายได้
แม้ลมหายใจออกไปแล้วเกิดอะไรติดขัดขึ้นมาสูดลมหายใจเข้าไม่ได้คนเราก็ตายได้ (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)
๑๒. เราทุกคนทุกดวงใจที่มีชีวิตอยู่ ณ ภายในนี้ ก็อย่าพากันนิ่งนอนใจ อยู่ที่ไหน กายกับใจอยู่ที่ไหน
ก็ที่นั่นแหละเป็นที่ปฏิบัติบูชา อยู่บ้านก็ภาวนาได้ อยู่วัดก็ภาวนาได้ บวชไม่บวชก็ภาวนาได้ทั้งนั้น (พระธรรมเทศนา
พุทธาจารานุสรณ์)
๑๓. ตั้งจิตดวงนี้ให้เต็มในขั้นสมถกรรมฐาน พร้อมกับวิปัสสนากรรมฐาน ให้แจ่มแจ้งในดวงใจทุกคน
เท่านั้นก็พอ เพราะว่าเมื่อเราเกิดมาทุกคนก็ไม่ได้มีอะไรติดมา ครั้นเมื่อเราทุกคนตายไปแล้ว
แม้สตางค์แดงเดียวก็เอาไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ จงพากันนั่งสมาธิภาวนาให้เต็มที่จนกิเลสโลภะ
อันมันนอนเนื่องอยู่ให้หมดเสียวันนี้ ๆ ถ้ากิเลสความโลภนี้ยังไม่หมดจากจิต ก็ยังไม่หยุดยั้งภาวนาจนวันตายโน้น
(ธรรมลิขิตจากหลวงปู่)
๑๔. การภาวนาละกิเลสให้หมดไปจริง ๆ นั้นต้องปฏิบัติดังนี้ เมื่อกำหนดรูปร่างกายของเรา
บริกรรมกำหนดลมหายใจจนจิตตั้งมั่นดีแล้ว ต้องกำหนดรูปร่างของเราเอง นับตั้งแต่ ผม ขน เล็บ
ไปตลอดหมดในร่างกายนี้ให้เห็นตามความเป็นจริง ที่มันตั้งอยู่และมันเสื่อมไปด้วยควมเจ็บไข้ได้ป่วยมีทวารทั้ง ๙
เป็นสถานที่ไหลออกไหลเข้าซึ่งของไม่งาม (ธรรมลิขิตจากหลวงปู่)
๑๕. อันความตายนั้น จงระลึกดูให้รู้แจ้งด้วยสติปัญญาของตนเอง ยกจิตใจตั้งให้มั่นอย่าได้หวั่นไหว
เจ็บจะเจ็บไปถึงไหนก็แค่ตาย อยู่ดีสบายอยู่ไปถึงไหนก็แค่ตาย แก่ชราแล้วไม่ตายไม่ได้
เมื่อมาถึงบุคคลผู้ใดจะให้ผู้อื่นช่วยไม่ได้ ต้องภาวนาให้พ้นจากความตาย ความตายนั้นมีทางพ้นไปได้
อยู่ที่การละกิเลสล้างกิเลสในใจให้หมดสิ้น
๑๖. วันคืนเดือนปี หมดไป สิ้นไป แต่อย่าเข้าใจว่าวันคืนนั้นหมดไป วันคืนไม่หมด
ชีวิตของแต่ละบุคคลหมดไปสิ้นไป มันหมดไปทุกลมหายใจเข้าออก ฉะนั้นภาวนาดูว่าวันคืนล่วงไป
เราทำอะไรอยู่ทำบุญหรือทำบาป เราละกิเลสได้หรือยัง เราภาวนาใจสงบหรือยัง
๑๗. ทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์อยู่ในใจยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นในชาติตระกูล ในตัว ในตน ในสัตว์ในบุคคล
ความยึดอันนี้แหละที่ยึดให้มีทุกข์ไม่ให้มีความสุข มันเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับว่าเราจะไม่ให้แก่ ก็แก่เรื่อยไป
ต้องรู้ว่าแก่เพราะอะไร ก็เพราะว่าจิตมายึดถือ เมื่อจิตมายึดมาถือ จิตจึงมาเกาะอยู่ มาเกิด มาแก่ชรา เจ็บไข้ได้พยาธิ
ผลที่สุดก็ถึงซึ่งความตาย
๑๘. บทภาวนาบทใดก็ดีทั้งนั้น ถ้าภาวนาได้ทุกลมหายใจ ก็เป็นอุบายธรรมอันดีทั้งนั้น
ความตั้งมั่นในสมาธิภาวนาของจิตใจคนเรานั้น ย่อมมีเวลาเจริญขึ้น มีเสื่อมลงเป็นธรรมดา ถ้าเรามารู้เท่าทันว่า
การรวมจิตใจเข้าเป็นดวงหนึ่งดวงเดียว เป็นความสงบสุขเยือกเย็นอย่างแท้จริง ก็ให้ทุกคนตั้งใจ
ปฏิบัติบูชาภาวนาอย่าได้มีความท้อถอย เมื่อใจไม่ท้อถอยแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้เราท้อแท้อ่อนแอได้
เพราะคนเรามีใจเป็นใหญ่เป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจทั้งสิ้น
๑๙. ความเที่ยงแท้แน่นอนในโลกนี้ จะเอาที่ไหนไม่มี ผู้ปฏิบัติจงรู้เท่าทัน รู้เท่านั้นแล้วก็ปล่อยวาง
อย่าเข้าไปยึดถือ อย่าไปยึดว่าตัวกูของกู ตัวของข้า ตัวของเรา เราเป็นนั้นเป็นนี้ ตัวเราของเราไม่มี มีแต่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม
มีแต่หลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งโลก
๒๐. ให้ทานข้าวของ วัตถุภายนอกก็เป็นบุญ แต่ยังไม่ลึกซึ้งให้ทำบุญภายในใจให้เป็นบุญอยู่เสมอ
ภาวนาพุทโธ นึกน้อมเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอยู่ภายใน นี่แหละบุญภายใน
๒๑. อวิชชา แปลว่าไม่รู้ ไม่รู้ต้น ไม่รู้ปลาย ไม่รู้อยู่ จิตจึงได้วนเวียน หลงไหล
เข้าใจผิดว่าโลกนี้ยังมีความสุขซ่อนอยู่ ความจริงแล้วในมนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ช่าง
ล้วนแล้วตกอยู่ในกองทุกข์ กองภัย ต้องมีภัยอันตรายรอบด้าน
๒๒. ชีวิตของคนเราไม่นาน ชีวิตนี้มีน้อยที่สุด เวลาเรายังไม่ตาย ก็ได้ข่าวคนนั้นว่าตาย
ที่เขาเอาไปฝังทิ้งหรือเอาไปเผาไฟเพื่อไม่ให้กลิ่นมันเหม็นจมูกเขาต่างหาก เราต้องพิจารณา
ต้องทำด้วยกำลังศรัทธาของเรา ทำไมพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านจึงเกิดอสุภเห็นแจ้งในจิตในใจได้
เห็นคนก็เห็นก้อนอสุภกรรมฐาน เห็นคนก็เห็นความตายของคนนั้น
๒๓. สงบแต่ปาก ใจไม่สงบก็ไม่ได้ ต้องให้สงบ ใจสงบคือว่า เมื่อฟุ้งซ่านรั่วไหลไปที่อื่นก็ให้คอยระวัง
นึกน้อมสอนใจของตัวเองด้วยว่า ความเกิดเป็นทุกข์ เกิดมาแล้วเป็นทุกข์อย่างนี้แหละจะไปเอาสุขที่ไหนในโลก
ที่ไหนมันก็ทุกข์เท่า ๆ กัน เอาสิ่งเหล่านี้มาเตือนใจตนเอง
๒๔. เวลาความตายมาถึงเข้า กายกับจิตจะอยู่ด้วยกันไม่ได้เรียกว่าแยกกันไป จิตทำบาปไว้ก็ไปสู่บาป
จิตทำบุญไว้ก็ไปสู่บุญ จิตละกิเลสราคะ โทสะ โมหะได้ก็ไปสู่นิพพาน จิตละไม่ได้ก็มาเวียนตายเวียนเกิด
วุ่นวายอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในโลก มนุษย์ทั้งหลายก็ยังไม่หมดไปจากโลก ยิ่งในปัจจุบันนี้
ยิ่งมากกว่าในสมัยก่อน มันเกิดมาจากไหน ก็เกิดมาจากจิตที่เต็มไปด้วยอวิชชา-ความไม่รู้ ตัณหา-ความดิ้นรน
ไม่สงบตั้งมั่น ก็สร้างตัวขึ้นมาในแต่ละบุคคล แล้วก็มาทุกข์มาเดือดร้อนวุ่นวายอยู่ในวัฏสงสารอย่างนี้แหละ
๒๕. ให้ละกิเลสออกจากจิตให้หมดทุกคน กิเลสนี้แหละทำให้คนเราเดือดร้อนวุ่นวายอยู่ไม่มีที่สิ้นสุด
กิเลสนั้นเมื่อย่นย่อเข้ามาก็คือ ความโกรธ ความโลภ ความหลง ๓ อย่างเท่านี้ ทำไมจึงเกิดมาสร้างกิเลสให้มากขึ้น
ไปทุกภพทุกชาติ ทำไมหนอ ใจคนเราจึงไม่ยอมละ การละก็ไม่หมดสักที ในชาติเดียวนี้ตั้งใจละ
ทั้งพระเณรและญาตโยมทั้งหลาย ความโกรธเมื่อเกิดขึ้นอย่าโกรธไปตาม ถ้าไม่โกรธไปตามมันจะตายเชียวหรือ
ทำไมจึงไม่ระลึกอยู่เสมอ ว่าคนเราจะละความโกรธให้หมดสิ้นไปในเวลาเดี๋ยวนี้ อย่าให้มีการท้อถอยในการสร้างความดี
มีการรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ พร้อมทั้งการเจริญสมาธิภาวนาฆ่ากิเลสตัณหาให้หมดไป
ใจจึงจะเย็นเป็นสุขทุกคน
๒๖. ภาวนาให้ได้ทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นจิตของผู้ภาวนาก็สูง คำว่าสูง
ก็เหมือนเรือที่ลอยลำอยู่ในแม่น้ำลำคลองหรือที่มหาสมุทร ก็คือจิตมันอยู่เหนือน้ำ
๒๗. จิตอยู่เหนืออารมณ์ เหมือนเรืออยู่เหนือแม่น้ำ มันก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อน
จึงจำต้องฝึกอบรมตัวเองให้มีความอดทน
๒๘. เวลาความสุขมาถึงเข้า เราจะไปเอาความสุขในความสรรเสริญเยินยอ มั่งมีศรีสุขอย่างเดียว
แต่เราหารู้ไม่ว่า "ความสุขมีที่ไหน ความทุกข์ก็มีที่นั้น"
๒๙. มรณกรรมฐานนี้เป็นยอดกรรมฐาน คนเราเมื่ออาศัยความประมาทมัวเมาไม่ได้มองเห็นภัย
อันตรายจะมาถึงตน คิดเอาเอง หมายเอาเอง ว่าเราคงไม่เป็นไรง่าย ๆ เราสบายดีอยู่ เรายังเด็กยังหนุ่มอยู่
ความตายคงไม่กล้ำกรายได้ง่าย ๆ อันนี้เป็นความประมาท มัวเมา.......
๓๐. ถ้ามองเห็นความตายทุกลมหายใจเข้าออก สบายไปเลย กูก็จะตาย สูก็จะตาย
จะมากังวลวุ่นวายกันทำไม....

ปัจฉิมบท

หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร เกิดมาเพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ให้กับตนเอง และใช้ชีวิตที่เหลือในการเกื้อกูลมหาชน
อย่างแท้จริง หลวงปู่พร่ำสอนเสมอ ๆ มิให้ตั้งตนในทางที่ประมาท ทั้งความประมาทในชีวิต ความประมาทในวัย
และความประมาทในความตาย หลวงปู่เน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการปฏิบัติภาวนาว่าเป็นหนทางอันสูงสุด
ที่จะทำให้คนพ้นทุกข์ ดังคำสอนตอนหนึ่งว่า "ทางพระสอนให้ละชั่วทำความดี แต่ก็ไม่ให้ติดอยู่ในความดี
ให้บำเพ็ญจิตให้ยิ่งขึ้นจนถึงไม่ติดดีติดชั่วจึงจะพ้นจากโลกนี้ไปได้ เพราะแม้คุณความดีจะส่งผลให้เป็นสุข
ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์เป็น เทพ อินทร์ พรหม ก็ตาม แต่เมื่อกำลังของกุศลกรรมความดีนั้น ๆ หมดลง
ก็ย่อมต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ทางพระจึงมุ่งสอนให้มุ่งภาวนา ทำจิตให้รวมระวังตั้งมั่น
ทำจิตให้มีปัญญารู้ตามความเป็นจริงด้วนตนเองจนถอดถอนอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นต่าง ๆ ออกเสีย
จึงจะเป็นไปเพื่อความสิ้นภพสิ้นชาติ หมดทุกข์หมดยากโดยแท้จริง"
หลวงปู่ได้ทำหน้าที่ครูอาจารย์ไว้โดยสมบูรณ์ยิ่งแล้ว ทั้งด้านเทศนาธรรม และด้วยการประพฤติปฏิบัติ
เป็นแบบอย่างที่ดีงาม หลวงปู่เป็นผู้มีใจหนักแน่นมั่นคงไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลาย
ซึ่งพวกเราจักยึดถือปฏิบัติตามได้โดยสนิทใจ หลวงปู่จากไปอย่างผู้ที่พร้อมรับต่อความตายทุกขณะ
สมดังที่หลวงปู่ได้พร่ำสอนผู้อื่นเสมอ